ช้างลาย : บินหลา สันกาลาคีรี (วุฒิชาติ ชุมสนิท) นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นที่ 20

<<< แชร์บทความนี้

หากพูดถึง วุฒิชาติ ชุ่มสนิท หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่าเขาคือคนเดียวกับ บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2548 จากผลงานเรื่องสั้นชุด ‘เจ้าหงิญ’ เชื่อเหลือเกินเลยว่า ทุกคนคงรู้จักชายผู้นี้เป็นอย่างดี
 
ครั้งนี้ มูลนิธินิเทศศาสตร์ ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ ได้รับอนุญาตจากพี่ต้อ รุ่น 20 ให้นำเรื่องสั้น ‘ช้างลาย’ มานำเสนอ ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ช่วงนี้พอดี เนื่องจากที่ผ่านมา กระแสข่าวปลอมได้ระบาดหนักไปทั่วโลกออนไลน์ จนหลายคนตกเป็นเหยื่อ
 
มูลนิธิฯ จึงหวังว่า เรื่องสั้นนี้จะช่วยจุดประกาย และกระตุกความคิดให้ทุกท่านหันกลับมาเสพข่าวอย่างมีวิจารญาณมากยิ่งขึ้นนะคะ
………………………………
ช้างลาย
บินหลา สันกาลาคีรี (วุฒิชาติ ชุมสนิท)
นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นที่ 20
 
24 มิถุนายน พ.ศ. 2549
เรียน บรรณาธิการที่นับถือ
 
นี่คือจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการ ในที่สุดผมก็ไม่สามารถเขียนต้นฉบับให้ตามที่รับปากได้ เลยส่งบทความแปลขึ้นหนึ่งมาแก้ขัด ถ้ามันไปกันไม่ได้กับวัตถุประสงค์ (หรือภาพรวม) ของนิตยสารก็โยนทิ้งได้เลยครับ ผมเพียงแต่เห็นว่าเรื่องราวมันแปลก และน่ารู้ดี
 
บทความนี้ชื่อเต็ม ๆ ของมันคือ “ช้างตาย : การค้นพบ, พร้อมๆ กับการยอมรับว่าไม่ควรมีวันค้นพบ” เขียนโดย professor Dr. Ian Manmark ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ผู้สนใจเปิดอ่านได้ในเว็บไซต์ขององค์การสวนสัตว์และสัตว์สงวนของประเทศไอวอรี่โคสต์ตะวันตก (Http://www.ivorywestzoo.org)
ผมเปลี่ยนชื่อของบทความเสียใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าภาษาของนักวิชาการ รวมทั้งไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาลิขสิทธิ์หรือเปล่า จึงได้เมล์ไปแจ้งให้ผู้เขียนทราบแล้ว คิดว่าน่าจะโอเคครับ
 
หวังว่าพี่คงสบายดี ส่วนผม ถ้าต้นฉบับชิ้นนี้ได้ลงตีพิมพ์ก็คงสบายดี (เลขาฯ ของพี่มีเลขที่บัญชีผมอยู่แล้วครับ)
 
บินหลา สันกาลาคีรี
……..
ช้างลายใช้เวลาแค่ไหนในการสูญพันธุ์?
 
 
มีคำพูดในหมู่นักโบราณชีววิทยาว่า ซากฟอสซิลนั้น แท้แล้วคือ ให้การของศพในห้องมืด
 
ความตายที่ไม่มีโอกาสได้อุทธรณ์ใดๆ จนกว่าคนรุ่นหลังจะนั่งลงฟัง ‘คำพูด’ ของพวกเขาอย่างถี่ถ้วน (แน่นอน ผ่านทนายชั้นดีอย่างนักโบราณชีวฯ อย่างเรา)
 
ไดไนเสาร์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เด็ก ๆ จำนวนมากคุ้นเคยกับชีวิตเมื่อดึกดำบรรพ์มากกว่าคุ้นเคยกับพ่อแม่ของพวกเขาเสียอีก ฟอสซิลเชื่อมโลกเมื่อร้อยล้านปีที่แล้วกับวันนี้เข้าด้วยกัน ฟอสซิลบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่รูปธรรมกว้างๆ รูปลักษณ์ หน้าตา การกำเนิด อาหาร ไปจนถึงรายละเอียดของสังคมครอบครัวไดโนเสาร์ รวมกระทั่งความตาย
 
ลองคิดดูว่า สมมุติมีใครสักคนรู้เรื่องไดโนเสาร์อย่างดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีซากฟอสซิลมาช่วยยืนยันสิ่งที่เขาพูด คุณจะเชื่อไอ้เรื่องแสนพิลึกพิลั่นนั่นหรือ?
 
แต่ถึงจะให้ความร่วมมือด้วยดีขนาดนี้ ฟอสซิลก็มีปัญหา มีข้อจำกัดของตัวเอง
 
ยังไม่มีนักวิชาการคนใด (ผมว่านักวิชาการ ไม่ไช่ไมเคิล ไครช์เต้นหรือสตีเวนส์ สปีลเบิร์ก) สามารถอ้างหลักฐานได้ว่าเสียงร้อง (หรือคำราม?) ของไดโนเสาร์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร?
 
หรือแค่เพียงคำถามง่ายๆ ว่า สีผิวหนังของไดโนเสาร์เป็นอย่างไร? สีอะไรกันแน่?
 
คำตอบคือความเงียบ
 
หลายคำถามเหล่านี้เราอาจจะต้องรอฟอสซิลที่สมบูรณ์ (อย่างน่ามหัศจรรย์) ยิ่งกว่าทุกวันนี้กระมัง
 
ปัญหาทำนองเดียวกันนี้เองที่ทำให้การค้นพบในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475-ผู้แปล) ที่ประเทศไอวอรี่โคสต์ตะวันตก ทวีปแอฟริกา ถูกมองข้ามเนื้อหาสำคัญยิ่งยวดไป
 
ในปีดังกล่าวนั้น ขณะที่การเข้าป่าล่าสัตว์อยู่ตรงกลางของการถูกตัดสินว่าเป็นเรื่องของ ‘สุภาพบุรุษไพร’ หรือ ‘ฆาตกร’ กันแน่ กลุ่มพรานผิวขาว (และลูกหาบผิวสี) พบว่าภายในพื้นที่ 10.4 เอเคอร์ของถ้ำแห่งหนึ่ง ทางทิศตะวันออกของเส้นลองติจูดที่ 07 องศาตะวันตก เต็มไปด้วยงาช้าง โครงกระดูกช้าง และความตายของช้าง
 
ไม่ใช่แค่จำนวนสิบ หรือจำนวนร้อย แต่เป็นจำนวนนับพันๆ ตัว
 
ด้วยความตื้นเขินในการรับรู้ (ขณะนั้น) เราเรียกมันในเวลาต่อมาว่า ‘สุสานช้าง’
 
การค้นพบครั้งนั้นทำให้เวสต์ไอวอรี่โคสต์พลิกสถานะจากประเทศยากจนกลับกลายมั่งคั่งในฉับพลัน
 
การมั่วนิ่มสร้างนิยายปรัมปรารองรับง่ายกว่าการสืบค้นข้อเท็จจริงเพิ่มเติมมาก มหาเศรษฐีนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลไปที่นั่น ตื่นเต้นและพอใจกับคำบอกเล่ามหากาพย์แห่งสัตววิทยา
 
เรื่องของพญาช้างชราผู้เพียรหอบสังขารอย่างเหนื่อยอ่อนรอนแรมนับร้อยไมล์ใต้แสงจันทร์ เพื่อที่จะฝังร่างเร้นหายจากสายตาโลก ณ สุสานลับแห่งนี้ ผู้เล่าแกล้งลืมข้อเท็จจริงที่ว่า ภายในถ้ำยังมีโครงกระดูกของช้างวัยฉกรรจ์ ช้างเด็ก และลูกช้างอีกไม่น้อย
 
เมื่อถูกทักท้วงมากเข้า ประโยคสุดท้ายของนิทานก็กลับพลิกไปจบลงที่ว่า ณ ถ้ำมรณะแห่งนั้น เผ่าพันธุ์ช้างโขลงนั้นตกลงใจตายหมู่ ตายเพื่อแลกกับผืนดินที่มั่นสุดท้าย ในท่ามทะเลน้ำตาที่เอ่ออาบด้วยความสะเทือนใจ ผมไม่รู้ว่าระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง ใครควรถูกสมเพชมากกว่ากัน?
 
ยังดีที่นักวิชาการไม่ช่างฝัน ไม่น้อยอกน้อยใจ (และไม่เห็นแก่เงิน) หนีไปเอาดีทางการเล่านิทานกันเสียทั้งหมด พวกเขาต้องอ้อนวอนรัฐบาลเวสต์ไอวอรี่ฯ อย่างหนัก กว่าจะยอมกันพื้นที่ทางวิชาการกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการทำงานอย่างเงียบๆ และอดทน 8 ทศวรรษให้หลัง สิ่งที่ฟอสซิลบอกไว้ไม่หมดก็ถูกประมวลจนได้พบคำตอบที่ทำให้โลกต้องตะลึง
 
ซากซึ่งอยู่ใต้สุดของกองโครงกระดูก ครึ่งท่อนล่างจมอยู่ในธารน้ำแข็งยังอยู่ในสภาพที่เรียกว่าสมบูรณ์ (ถ้าไม่คิดว่าเป็นคำพูดที่จาบจ้วงเกินไปนัก ผมอยากจะอ้างถึงคำของนักวิชาการคนหนึ่งในนาทีที่ได้เห็นมัน “พระเจ้า ผมคิดว่าเราพบตุตันคาเมนอีกองค์แล้ว”)
 
สิ่งที่พวกเขาค้นพบไม่ใช่หน้ากากทองคำของมัมมี่อียิปต์ แต่เป็นเนื้อและผิวหนังแท้ของช้าง
 
มีร่องรอยของบาดแผลและการต่อสู้
 
ที่แท้พวกมันไม่ได้ตายโดยอายุขัย แต่ตายโดนการฆ่า
 
เหตุผลนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสัตว์โลก
 
หากแต่ที่สร้างความตะลึงงันคือผิวหนังของช้างตัวนั้นมีเส้นลายตัดกันเป็นปล้องๆ เหมือนผิวของลูกหมูป่า
 
ผิวหนังของช้างตัวนั้นมีลายเหมือนผิวของลูกสมเสร็จ เหมือนของลูกม้าลายและม้าลายฉกรรจ์ พวกมันไม่ใช่ช้างแอฟริกัน (Rhyncosiylis) ผิวหยาบหนังแห้งสีเทาทึบ อย่างที่เราเข้าใจ แต่เป็นอีกพันธุ์เผ่าหนึ่ง พวกมันเป็นช้างตัวลายๆ
 
Dr. Tha Brokg หัวหน้าคณะนักวิจัย อุทิศรางวัลโนเบลลาขาชีววิทยาที่เขาได้รับในปี 2003 ให้กับช้างเหล่านั้น ทว่าความคลุมเครือทางการเมืองในเวสต์ไอวอรี่ (ผมไม่อยากกล่าวหาว่าเป็นความโลภอยากรวยครั้งที่ 2) ทำให้วิชาการบริสุทธิ์ต้องแปดเบื้อนด้วยข้อหาข่าวกล่าวหาต่างๆ รุนแรงที่สุดคือข้อหาสร้างหลักฐานเท็จ ดร.บร็อคถูกควบคุมตัวสืบสวน และความตายของเขาในเวลาต่อมาเงียบงันและเป็นปริศนาพอๆ กับช้างในสุสาน
 
ผมได้รับบันทึกเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านปรัมปราหลายเรื่องที่พูดถึงช้างลายมานานนับพันปี แน่นอนว่ามันไม่น่าเชื่อถือ แต่ความเห็นซื่อ ๆ ของผู้นำเผ่าคนหนึ่งในประเทศโตโกก็จับใจผมมาก (เขาไม่เคยรับรู้เรื่องถ้ำที่เส้นลองติจูด 07 เวสต์) ผู้เฒ่ายักไหล่แล้วพูดว่า
 
“ในเมื่อม้าลายก็ยังควบกีบเกลื่อนทุ่งสะวันนาอยู่ ทำไมโลกเราจะมีช้างลายไม่ได้”
 
ยังไม่มีใครได้เห็นรายงานที่สมบูรณ์แบบของคณะนักวิจัยอย่างแท้จริง ยูเนสโกเองก็ได้รับเพียงสำเนาคัดย่อ (อย่างไม่เต็มใจนัก) จากรัฐบาลเวสต์ไอวอรี่ฯ จริงอยู่ว่า การสูญพันธุ์ของช้างลายอาจไม่พิสดารพันลึกเท่าทฤษฎีการ ‘ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป’ ของไดโนเสาร์ แต่มันก็มีความหมายมากแน่ๆ
 
อย่าได้เทียบกับกวางสมัน (Schomburgk Deer) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทย หรือ ทัสเมเนียน เดวิล ที่คนทั้งโลกจะเป็นจะตายเมื่อรู้ว่า ตัวสุดท้ายของพวกมันเพิ่งถูกย่างกินไปเมื่อวานนี้
ช้างลายใช้เวลานานแค่ไหนในการสูญพันธุ์?
 
พวกมันหมดจากโลกไปได้อย่างไร?
 
ชาร์ล ดาร์วิน พูดถูกมามากแล้ว และคราวนี้ก็อาจจะถูกต้องอีกครั้ง แต่ใช่กระบวนการคัดสรรตามธรรมชาติจริงหรือที่เป็นผู้จัดการมัน? บาดแผลบนซากฟอสซิลหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของบรรดาสัตว์ยักษ์ด้วยกัน? ช้างฆ่ากันเองเช่นนั้นหรือ? ช้างลายกับช้างไม่ลาย ทำไมพวกมันถึงเกลียดกัน ทำร้ายกัน? ทำไมพวกมันถึงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ทั้งที่เป็นช้างด้วยกัน? อย่าลืมว่าพวกมันตายยกโขลง ยกเผ่าพันธุ์ ตายลงในที่ๆ เดียวกัน ถ้าพวกมันเป็นคนเราอาจใช้คำเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำๆ …ในดินประเทศเดียวกัน
 
อย่างน้อยฟอสซิลของพวกมันก็ ‘ให้การ’ กับเราเช่นนี้
.
นักวิชาการพยายามไขปัญหาทีละเปลาะ แต่ไม่มีวันทันใจผู้รอคอยคำตอบเป็นแน่ (ไม่ปฏิเสธว่าผมเองก็อยากรู้น้อยอยู่หรือ) ผมเชื่อว่าทันทีที่ข่าวนี้สะพัดแพร่ (ก็ใครจะเก็บมันไว้เล่า? เราไม่พูดกันตรงๆ เท่านั้นว่า เหตุที่รัฐบาลเวสต์ไอวอรี่ฯ ไม่ยอมแถลงข่าว ก็เพียงแต่รอเวลาที่จะ ‘ขาย’ มันในราคาแพงที่สุดเท่านั้น แต่ขอโทษครับผมไม่รอล่ะ) ไอเดียบรรเจิดของบรรดานักเขียนนวนิยาย นักสร้างภาพยนตร์ รวมทั้งนักขายการท่องเที่ยวก็จะช่วยกันกวนให้กระบวนการวิทยาศาสตร์ปั่นป่วนอีกครั้ง
 
กระบวนการ ‘เสกสร้าง’ ที่สมจริงจะดำเนินอย่างสนุกสนาน ผมเห็นภาพด้วยซ้ำว่า ไมเคิล ไครช์ตันคนที่ 2 จะวางโครงเรื่องให้ ดร.ผู้เก่งกาจทางผจญไพรสักคน ย้อนเวลาไปเอาดีเอ็นเอของพวกช้างลายได้จากที่ไหน และเรื่องราวนั้นจะดูสมจริงสมจังน่าเชื่อถือเพียงใด
 
ใช่แล้ว
 
เชิญเลยครับ มิสเตอร์ไครซ์ตัน
 
ใช่แล้ว
 
มิสเตอร์สตีเวนส์ สปีลเบิร์กครับ
 
อัพเดทโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ตระเตรียมหุ่นยางเซ็ทใหม่ไว้ได้เลย
 
ผมไม่ใช่คนแก่ขี้ประชดหรอก แต่เชื่อผมเถอะ กระบวนการ ‘สร้าง’ อะไรสักอย่างขึ้นมาในโลกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ในเมื่อถูกปั่นหัวจนกระหายเช่นนี้แล้ว โธ่เอ๋ย กะอีแค่ช้างลายตัวสองตัว สร้างความสมจริง อธิบายทั้งเรื่องของการมีอยู่และสูญพันธุ์ ทำไมเขาจะสร้างให้คุณดู,ให้คุณ ‘เชื่อ’ ไม่ได้?
 
‘เชื่อ’ เถอะครับ ‘เชื่อ’ ผมเถอะ !!
…………
19 กันยายน พ.ศ. 2549
 
บ.ก.ที่นับถือ (อีกครั้งหนึ่ง) ครับ
 
แปลรีบตกๆ หล่นๆ (แต่ไม่มั่ว) กำลังจะเมล์ไปพอดี ผมได้รับเมล์ตอบกลับจาก professor Dr.Ian Manmark แล้วครับ ทันใจดี เขาอนุญาตให้เราด้วยความเต็มใจ แต่ตั้งข้อสงสัยแขวะมาหน่อยหนึ่งด้วยว่า ทำไมผมถึงเพิ่งอ่านบทความของเขา
 
อย่างไรก็ตาม เขาตื่นเต้นนะที่รู้ว่าเป็นจดหมายจากเมืองไทย ดร.บอกว่า ในทัศนะของเขา ทุกวันนี้ ประเทศไทยคือ ‘เมืองหลวง’ ของช้างโลก (และเป็นไปได้ว่ามีสปีชีส์ช้างลายในเมืองไทย? เขามีแฟ้มข่าวว่ามีข่าวลือเรื่องนี้ และข่าวลือยังมีอยู่จนทุกวันนี้?) ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง เขาขอให้ผมช่วยหาข้อมูลยืนยันให้ด้วย
 
ผมจึงต้องโอนคำขอของเขาต่อมาที่ท่านบรรณาธิการ (รวมทั้งผู้อ่านทุกท่าน) อีกที ถ้าช่วยได้ก็คงเป็นคุณูปการต่อวิทยาการ
 
แต่โดยส่วนตัว ผมได้ปฏิเสธ ดร.เอียนไปแล้ว ในบรรดาสัตว์ตัวลายทั้งหลาย จะช้างลาย ม้าลาย หรือแมงมุมลายตัวไหน ผมไม่มีความรู้สักกะติ๊ด ผมไม่สนที่จะหาคำอธิบายการมีอยู่และสูญพันธุ์ของมัน ไอ้พวกสัตว์ลายๆ ที่ผมพอจะมีความรู้บ้างก็คือหอยลาย เพิ่งวิจัยมันร่วมกับน้ำพริกเผาไปเมื่อวานนี้
 
ได้ผลดีทีเดียวครับ
 
บินหลา
 
 
ที่มา : หนังสือ คนรักของนักเขียน. บินหลา สันกาลาคีรี สำนักพิมพ์ไรเตอร์ ปี 2556

RELATED POSTS

มูลนิธิฯ นำรายได้จากการจัดงาน “วันชื่นคืนสุข” สมทบทุนการจัดทำรายการ “เต็มที่กับแซยิด”

มูลนิธิฯ นำรายได้จากการจัดงาน “วันชื่นคืนสุข” จำนวน 100,000 บาท มอบให้กับสมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สมทบทุนจัดทำคลิปรายการ “เต็มที่กับแซยิด”

Read More »

ภาพประทับใจจากงาน “วันชื่นคืนสุข” รื่นเริงบำรุงสุข#2

ขอนำภาพประทับใจจากงาน “วันชื่นคืนสุข” รื่นเริงบำรุงสุข#2 เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมใบหยกสกาย มาฝากเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ

Read More »

มูลนิธินิเทศศาสตร์ ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ

 

เลขที่ 254 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330