ความหมายของชีวิต…ช่วงสั้นๆ
นิรมล เมธีสุวกุล
นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นที่ 15
คำถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในช่วงชีวิตนิสิตนิเทศตลอด 4 ปี เป็นคำถามที่คลาสสิก ฉันเชื่อว่าคำถามนี้สามารถจัดอยู่ประเภทเดียวกับผีมีจริงหรือไม่, เกิดมาทำไม, ตายแล้วไปไหน ฯลฯ
เป็นคำถามที่เกิดขึ้นและปรากฏขึ้นเสมอตลอดไป เพราะหาคำตอบชัดเจนได้ยาก
เชื่อว่าทุกคนที่เคยรวบรวมสรรพกำลังฝ่าด่านอรหันต์ปัญหานานาชนิดเพื่อเข้ามาเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ มีความมุ่งมั่นตั้งใจมีจุดหมายความฝันอย่างแรงกล้าในทางใดทางหนึ่ง มักจะตั้งคำถามนี้ และจะค่อยๆ ถี่ขึ้นตามวันเวลา
วันแรกในคณะนิเทศศาสตร์ ชุดนิสิตใหม่เอี่ยมอ่อง (รีดแขวนรอในตู้ล่วงหน้าหลายวัน ลองแล้วลองอีก แม้กระทั่งเข็มพระเกี้ยวก็กลัดติดเสื้อเอาไว้แล้ว) วันนั้นฝนตกห่าใหญ่ ทำให้นิสิตใหม่กลายเป็นลูกหมาตกน้ำถ้วนหน้า
ฉันซึ่งตอนนั้นเป็นเด็กสาวหน้าใสเอ๊าะเยาว์วัยไฟแรงไร้ประสบการณ์ รู้สึกหงุดหงิดผิดหวังอยู่บ้างแต่ไม่สังหรณ์ใจล่วงหน้าเลยว่า อุปสรรคขวากหนามในชีวิตที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าห่าฝนนั้นตั้งเค้าทะมึนรออยู่ข้างหน้าและส่งผลต่อชีวิตอย่างมากในเวลาต่อมา
มองย้อนหลังกลับไปสองทศวรรษเศษ …โอ้โฮ นานจังพี่!!
พ.ศ.2525 นิสิตนิเทศรุ่น 15 กำลังเรียนปีสุดท้าย อีกไม่กี่เดือนก็จะจบ หากวันนั้นมีคนถามถึงความหมายของการใช้ชีวิต 4 ปีที่นิเทศศาสตร์ ฉันคงจะหัวเสีย ผิดหวัง เบื่อ เซ็ง อยากจะรีบๆ จบไปทำงานให้รู้แล้วรู้รอดเสียที และตอบคนถามว่า “การใช้ชีวิตที่นี่มีความหมายอยู่บ้าง…แต่น้อย”
พ.ศ.2549 ขณะนั่งเขียนบทความอยู่นี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาระดับหนึ่ง มองชีวิตตนและคนอื่นอย่างเอ็นดูระดับหนึ่ง คำตอบคือ “การใช้ชีวิตที่นี่มีความหมายอยู่บ้างแล้วแต่ว่าคุณคาดหวังต่อชีวิตมากน้อยเพียงใด หากคาดหวังมากก็ผิดหวังมาก คาดหวังน้อยก็ผิดหวังน้อย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ถ้าคุณตระหนักในคุณค่าสิ่งที่คุณครอบครองและเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก ชีวิตของเรามีคุณค่าความหมายเสมอ”
เขียนแล้วรู้สึกว่าจะเก๋ๆ กว้างๆ เกินไป น่าจะเป็นประโยคสรุปจบเรื่อง แต่ก็เร็วไปหน่อย
ขยายความอีกสักนิด…
คุณย่อมรู้อยู่แล้วนะว่า ชีวิตคนเราไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
ต่อไปนี้คือคำที่หมายถึงกิจกรรมในชีวิตฉันช่วงชั้นเรียนปีหนึ่งถึงปีสี่
.
ระหว่าง พ.ศ. 2522-2525 คำสำคัญที่มีความหมายเหล่านี้จึงมีทั้งเกี่ยวข้องโดยตรง โดยอ้อม และบ้างก็ไม่เกี่ยวเลยกับความเป็นนิสิตนิเทศศาสตร์
นิสิตใหม่,หัวหน้าชั้นปี1, ผู้เชิญพระเกี้ยว, ฟ้อนเล็บวันลอยกระทง, แข่งแบดมินตัน, ทำเพลทเชียร์, ช็อตทริป, ขายแซนวิช ขายสมุด หาเงินไปออกค่าย, สัมมนา, อภิปราย, ประท้วงค่ารถเมล์, ความรัก, ธุรกิจไร่ยาสูบของพ่อขาดทุน, กลับบ้าน, แบกกระสอบ-คัดใบยา-เยี่ยมชาวไร่, ขาดเรียน, ขาดเงิน, ขอทุน, รับทุนโตโยต้า, ทุนธนาคารมิตซุย, เพื่อนช่วยติว, ซ่อมเกรด, ทำรายงาน, แสดงละคร, ปลอมลายมืออาจารย์ที่ปรึกษา-โดนลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ, รับน้อง-ห้องเชียร์ ว้าก-ไม่ว้าก, ไปเที่ยว, โบกรถกรุงเทพฯ-ภูเก็ต, ไปค่าย, ว่ายน้ำ, ประธานฝ่ายวิชาการ, จุฬาวิชาการ, สนามศุภ, ประท้วงสร้างมาบุญครอง, โจ๊กสามย่าน, ร้านเซี้ยะ, หนังสือสายใย, หนังสือนิสิตนักศึกษา, ตึกใหม่, ใต้ถุน, ห้องJR, ชั้น4, ล็อกเกอร์, ห้องแลบโฟโต้, ต้นหูกวาง, ทะเลาะกับเพื่อน, เถียงกับครู, สอบตก-สอบได้, หัวเราะ, ร้องไห้, ฝึกงานหนังสือพิมพ์บ้านเมือง, ฝึกงานหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นฯลฯ
ทั้งหมดแทบไม่มีเรื่องวิชาการที่ได้เล่าเรียนเขียนอ่านเลย ที่สำคัญคือหลายคำเป็นเรื่องส่วนตัวมากจนผู้อ่านแทบจะไม่รู้เรื่องด้วย สรุปว่าความรู้ที่ได้รับมีอะไรบ้างก็ไม่ทราบ จนกระทั่งเติบโตขึ้น มีโอกาสทำงานด้านการศึกษา วิชาการ โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบองค์รวมจึงเริ่มถอดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตและนำคำสำคัญที่เขียนถึงนั้นมาทบทวนใหม่
องค์ความรู้ที่ได้รับระหว่างการเรียนนิเทศศาสตร์คือ การเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน เรากับเพื่อนในคณะนอกคณะ เรากับพี่ เรากับครูบาอาจารย์ เรากับชุมชนชาวบ้านตอนออกค่าย เรากับโลกใบเล็กๆที่ค่อยๆกว้างใหญ่ขึ้นทีละนิด ที่สำคัญคือเรียนรู้ทำความรู้จักตัวเองทั้งในแง่ความคิดจิตวิญญาณความรู้ความสามารถ คล้ายๆกับเด็กเตรียมอนุบาลที่จะเข้าชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ในเวลาต่อมา นั่นคือเมื่อเรียนจบจากนิเทศศาสตร์องค์ความรู้หลายอย่างหล่อหลอมให้เรามีความพร้อมระดับหนึ่งสำหรับเดินเข้าสู่วงการสื่อสารมวลชนที่แสนจะกว้างไพศาล
ความรู้ที่ได้รับจากในห้องเรียนและนอกห้องเรียน น้อยนิดนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ในชีวิตการงานและในชีวิตจริง ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย เป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ
ต้นทุนอันน้อยนิดที่ว่านี้แสนสำคัญและยิ่งใหญ่
เราเริ่มเรียนรู้ทีละนิดว่าสิ่งใดดีสิ่งใดเลว สิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับตน สิ่งใดที่จะนำไปด้วย สิ่งใดจะโยนทิ้งไว้ข้างหลัง
บางคนอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักนิเทศศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ของชาติ ของประเทศ แต่อย่างน้อยที่สุด หากคนๆหนึ่งรู้จักตัวเอง รู้จักความหมายและคุณค่าของประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ทุกสิ่งล้วนเป็นต้นทุนที่ดีเพื่อพัฒนาตนเอง ประคองชีวิตให้ก้าวเดินสู่หนทางที่เหมาะสมดีงามและมีความสุขแก่ตน
สำหรับคนที่มีความสุขอยู่แล้ว ขอเรียกร้องให้อดทน มุ่งมั่นตั้งใจมากขึ้นอีกนิดเพื่อเผื่อแผ่แก่คนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเอาเปรียบ คนจนที่ขาดโอกาส หรือคนรวยที่เวียนว่ายอยู่ท่ามกลางความไม่รู้หรือหลงผิด เป็นต้น
นี่แหละคือการทำให้ชีวิตในอดีตและปัจจุบันมีความหมายและมีคุณค่าอย่างแท้จริง.
ที่มา : หนังสือใต้ถุน หนังสืออนุสรณ์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2548
.