ความสุขที่เกินคาดจากการเดินทาง : โอ๊ค-โลจน์ นันทิวัชรินทร์

<<< แชร์บทความนี้

จะมีใครในโลกนี้ที่พยายามเดินทางไปยังสถานที่แปลกๆ ทั่วโลก
 
หนึ่งในนั้นคือชายที่ชื่อ ‘โอ๊ค-โลจน์ นันทิวัชรินทร์’
 
“ผมมีปรัชญาชีวิตที่ชัดเจนมาก คือทำมาหาเที่ยว เพราะผมเป็นคนชอบเที่ยวถึงขั้นเสพติด”
 
การเดินทางของเขาไม่ไช่เพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นการพิสูจน์ข้อสงสัยบางอย่างที่มีอยู่ในใจ
 
บางทีประเทศที่ไปเยือน มีสงครามกลางเมืองติดต่อกันนาน 4 ทศวรรษ
 
บางประเทศเคยเกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุด ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 
บางประเทศไปเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับกอริลลาโดยไม่มีกรงกั้นเพื่อพิสูจน์ว่าคนกับสัตว์เป็นเพื่อนกันได้
 
และในเวที ‘สารบำรุงสุข’ ทอล์คโชว์ปลอดสารพิษ เพื่อสุขลักษณะที่ดีทางความคิด โอ๊คได้ถ่ายทอดมุมมองสุดพิเศษจาก 3 ดินแดนที่เคยแวะไป ประกอบด้วย วานูอาตู คิริบาส และโมซัมบิก
 
รู้หรือไม่ วานูอาตู เมื่อ 30 ปีก่อนยังเป็นชนเผ่ากินคนอยู่เลย แต่ทุกวันนี้พวกเขาเป็นมิตรและสามารถร่วมสนุกเต้นระบำด้วยกันได้แล้ว
.
“ความจริงวานูอาตูเป็นเกาะที่ได้รับสมญาว่ามีความสุขที่สุดในโลก ผมเลยตั้งธงว่าอะไรคือความสุขของเขา เขาใช้ชีวิตกันอย่างไร และความสุขนั้นจะถ่ายทอดมาที่ผมได้ไหม บุคคลหนึ่งที่สำคัญมาก คือป้าเอมมี่ เธออายุใกล้ 70 ปียังแข็งแรง และเป็นคนดูแลบังกะโลที่ผมไปพัก เมื่อทักทายกัน เธอจึงทราบว่าคุณแม่ผมเสียไปหลายสิบปีแล้ว เธอก็เดินเข้ามากอดผม แล้วบอกว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม บนเกาะนี้เราเป็นแม่ของเธอ อย่าเรียกฉันว่าเอมม่า ให้เรียกว่ามาม่า

“ชาวเกาะเป็นคนชั้นเดียว พอเขาบอกว่าเป็นแม่ เขาก็ตั้งใจอย่างจริงจังมาก เขาอบรมสั่งสอนเราประหนึ่งลูก และใช้งานเราหนักมาก พอผมวางเป้ มาม่าก็บอกให้ไปต้มมันกัน ผมก็ต้องไปต้มมัน โดยมีน้องชาววานูอาตูเป็นผู้ช่วย ผมต้มไปทั้งหมด 14 มื้อ เช้าและเย็นทุกวันตลอดที่อยู่บนเกาะ”

นอกจากต้มมัน โอ๊คยังมีหน้าที่หุงข้าว ตกปลาด้วยใยแมงมุม และแต่ละคืนยังต้องร่วมห้องกับตุ๊กแก ซึ่งแม้จะกลัว แต่เอมม่าก็บอกว่า “จะกลัวไปทำไม มันก็แค่แอบดู” กระทั่งเขาชินไปเอง

ขณะเดียวกัน เธอยังสอนวิธีสื่อสารแบบชาววานูอาตูให้เขา ด้วยการเขียนทรายเพื่อบอกว่าวันนี้ไปทำอะไร โดยลวดลายนั้นเลียนแบบมาจากธรรมชาติ เช่น ถ้าเขียนเป็นรูปเต่าแสดงว่าออกไปหาปลา แต่เขียนเป็นรูปค้างคาวแสดงว่าไปหาผลไม้

โอ๊คเดินทางมาที่นี่รวมแล้ว 3 ครั้ง และกำลังเตรียมตัวไปเป็นครั้งที่ 4 สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้คือ ความจริงใจของชาวเกาะ เมื่อพูดอะไรก็จะทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ได้ยากมากในสังคมปัจจุบันนี้

ประเทศต่อมาคือ คิริบาส ที่นี่เป็นหมู่เกาะตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ เกาะแห่งนี้กำลังจมน้ำทะเลภายใน 30 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน เขาจึงอยากหาคำตอบว่า คนที่นี่เขาเตรียมตัวและเตรียมใจรับมือกับข่าวร้ายอย่างไรบ้าง

ที่นี่เป็นดินแดนที่สงบมาก บ้านพักไม่มีประตูหรือหน้าต่างเพราะปราศจากอาชญากร โดยช่วงที่เขาไปตรงกับวันชาติพอดี ซึ่งปกติหน่วยงานทุกแห่งจะหยุดทำการเป็นเวลา 7 วัน และรัฐบาลยังจัดกิจกรรมสนุกๆ ให้ประชาชนได้ร่วม เช่นพาเด็กๆ มาสวนสนาม รวมถึงจับรางวัลใหญ่ เป็นรถยนต์ 4 ประตูอีกด้วย

โดยวันที่เขาร่วมงานจับสลาก เขานั่งติดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้เองที่เป็นคนกระจายข่าวว่า คิริบาสมีแขกจากต่างแดนเดินทางมาเยี่ยม

“ผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับเชิญให้ไปจับรางวัลรองลงมาคือตู้เย็น แล้วเธอยังไปกระซิบพิธีกรว่ามีแขกมาจากเมืองไทยคนหนึ่ง ชื่อ Mr.Oak From Thailand ยูน่าจะเชิญเขามาจับรางวัลใหญ่รถยนต์ แล้วก็มีเสียงประกาศเชิญผมไปจับรางวัลใหญ่ ซึ่งก่อนจับก็ต้องมีการพูดคุยว่ายูมาทำอะไร เย็นวันนั้นผมกลับไปที่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านบอกว่าดังใหญ่แล้วนะ”

จากนั้นเขาก็ได้รับเกียรติให้ไปร่วมเปิดพิธีสำคัญของประเทศอีกหลายงาน อาทิประกวดยกน้ำหนักหญิง เปิดห้างสรรพสินค้าแห่งแรก รวมถึงได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถึงศาลาว่าการเมือง


“ในวันสุดท้าย ผมได้รับเชิญให้ไปนั่งเรือใบเป็นเรือเร็ว ซึ่งคนขับ 2 คนเป็นอดีตแชมป์เรือใบ โดยคนหนึ่งเป็นพี่ชายของประธานาธิบดีปัจจุบัน แล้วเขาก็ชี้ให้ดูเกาะๆ หนึ่ง ซึ่งเดิมเป็นเกาะใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้ มีแม้กระทั่งน้ำจืดบนเกาะ แต่ตอนนี้เหลือแค่สันทรายเท่านั้น เพราะภาวะโลกร้อน ผมก็ถามเขาว่าอีก 20 ปีนี้คิริบาสจะจมหายไป แกบอกว่าทราบ ผมเลยถามต่อว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร แกเงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบว่าพระเจ้าจะประทานคำตอบให้เรา จงใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีคุณค่าและมีความสุข”
โอ๊คใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้ 12 วันเต็มๆ พร้อมกับได้เรียนรู้สัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตว่า คนเราไม่ควรใช้ชีวิตอยู่บนความวิตก เพราะบางครั้งความวิตกก็ไปบดบังปัญญา หากคนเราตั้งสติและอยู่กับปัจจุบันก็อาจค้นหาทางออกที่ต้องการได้เช่นกัน

สำหรับประเทศอีกแห่งที่เขาไปเยือน คือโมซัมบิค เดิมเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสอยู่ 500 ปี พอได้เอกราชก็รบกันเองอีก 40 ปี มีคนตายนับแสนคน ประชากรมีรายได้ราว 16,000 บาทต่อคนต่อปี ถือว่าฐานะยากจนมาก และมีอาชญากรรมเยอะมาก

โอ๊คเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่นี่แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน โซนแรกเป็นเขตเมืองสถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป เดิมที่เป็นอยู่ของชนชั้นปกครอง และชนผิวขาว ส่วนที่เหลือเป็นสลัมและที่อยู่ของคนผิวสี ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศมาก่อน ซึ่งทุกวันจะมีเด็กๆ จากโซนสลัมวิ่งมาของจากโซนเมือง

“ตอนแรกผมหนีน้องๆ ตลอดเวลา กระทั่งอีก 2-3 วัน ผมออกไปหน้าโรงแรมตามปกติ แล้วก็ไปเจอน้องๆ 5 คน คราวนี้ผมเลยคิดใหม่ให้น้องๆ พาผมไปเที่ยวบนเกาะ จะไปไหนก็ได้ โดยมีกฎว่า น้องต้องไปกับพี่ 5 คนเท่านั้น อย่าไปเรียกคนมาอีก แล้วก็ต้องพูดด้วยภาษาโปรตุเกสเป็นหลัก เพราะผมกำลังฝึกภาษานี้ และสุดท้ายคือเที่ยวจบ พี่จะพาน้องไปซื้ออะไรก็ได้ที่ตลาด

“สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ นัยน์ตาเขามีชีวิตชีวามาก และน้องก็พาผมเที่ยวอย่างสนุกสนาน แล้วผมก็ทึ่งในความรู้ที่เขามีต่อบ้านเกิดเมืองนอน เขาพาอนุสาวรีย์ แล้วก็อธิบายละเอียดมาก พาไปดูโบสถ์คริสต์แห่งแรกของแอฟริกา และสุดท้ายคือไปเที่ยวโรงพยาบาลของเกาะซึ่งเป็นโบราณสถาน จากนั้นก็ผมพาน้องๆ ไปซื้อของที่ตลาด โดยประโยคสุดท้ายที่ผมบอกน้องๆ คือ อย่าเป็นขอทาน พยายามสร้างคุณค่าให้ตัวเองหรือหาอะไรทำก็ได้

“ในวันรุ่งขึ้น หนึ่งในมัคคุเทศก์มาดักรอผมหน้าโรงแรม พร้อมรูปทั้งหมด 8 รูป เป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่พาผมไปทั้งหมด เขายอมอดตาหลับขับตานอนวาดรูปทั้งหมด เพื่อนำมาขายผม แล้วผมก็ซื้อมา สุดท้ายผมพาเด็กคนไปหาเจ้าของโรงแรมแล้วก็บอกว่า ขอฝากเด็กคนนี้ก็โครงการมัคคุเทศก์ไว้ด้วย ซึ่งผมก็หวังว่าโครงการนี้จะยังอยู่ในดินแดนนี้ต่อไป”

ตลอดหลายปีของการเดินทาง โอ๊คเห็นชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย ทุกคนมีความเชืื่อ ความคิด และวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน คือทุกคนต่างพยายามหาเส้นทางความสุขตามแบบฉบับของตัวเอง และเขาเองก็รู้สึกว่านี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของที่จะต้องแบ่งปันเรื่องราวความสุขนี้ไปสู่ผู้อื่น

โอ๊คเขียนเรื่องราวทั้งหมดนี้ผ่าน Facebook รวมถึงส่งต่อไปยัง Magazine Online หลายแห่ง ทั้ง The Cloud, Happening, a day รวมแล้วกว่า 60 เรื่อง เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้เข้าถึงและสัมผัสความสุข แม้จะเป็นเพียงตัวอักษรและรูปภาพก็ตาม

5 สิ่งที่เรียนรู้จากโอ๊ค-โลจน์ นันทิวัชรินทร์ ใน ‘สารบำรุงสุข’

1. จงใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและดีที่สุด


2. คนเราควรมีความจริงใจให้กัน แล้วความสุขก็จะตามมาเอง


3. อย่าปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในความวิตก เพราะสุดท้ายจะทำให้จมอยู่กับปัญหา


4. ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมี 2 ด้าน ลองพลิกมุมมองให้หลากหลาย บางทีคุณอาจเจอเรื่องดีๆ ก็เป็นได้


5. อย่าลืมส่งต่อความสุขของคุณสู่ผู้อื่น เพราะคนที่จะสุขที่สุดก็คือตัวคุณนั่นเอง

RELATED POSTS

ภาพประทับใจจากงาน “วันชื่นคืนสุข” รื่นเริงบำรุงสุข#2

ขอนำภาพประทับใจจากงาน “วันชื่นคืนสุข” รื่นเริงบำรุงสุข#2 เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมใบหยกสกาย มาฝากเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ

Read More »

31 มกราคม 2568 : ครบรอบ 32 ปี วันบำรุงสุข

คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ จัดพิธีทำบุญ รำลึกถึงศาสตราจารย์ บำรุงสุข สีหอำไพ ผู้ก่อตั้งคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเราตัวแทนจากมูลนิธิฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อแสดงความรำลึกถึงอาจารย์ที่เคารพรักของเราด้วยค่ะ

Read More »

การ์ตูน ‘บำรุงสุข’ ผู้ก่อกำเนิดนิเทศศาสตร์

มูลนิธินิเทศศาสตร์ ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ ขอพาทุกท่านย้อนกลับไป เพื่อสัมผัสเรื่องราวของอาจารย์ผู้เสียสละ ผ่านการ์ตูน 4 ตอนที่รังสรรค์โดยฝีมือของพี่น้องชาวนิเทศ แล้วคุณจะทราบว่า ชายผู้นี้สำคัญอย่างไรกับสังคมไทย

Read More »

มูลนิธินิเทศศาสตร์ ศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหอำไพ

 

เลขที่ 254 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330